ทำไมคนรักจึง นอกใจ ฟังคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์
ยิ่งอายุมากขึ้นเรายิ่งเข้าใจความรัก ว่าความรักคืออะไรเหรอ? ป่าว เข้าใจว่าเป็นเรื่องที่ทำความเข้าใจแบบเดียวไม่ได้ เพราะเราต่างตีความความรักในแบบของเราเอง เราใช้ความรู้สึกทำความเข้าใจความรัก และเมื่อโดน นอกใจ ผิดหวังจากความรัก ถูกหักหลัง เราก็ใช้ความรู้สึกพยายามจะเข้าใจเหตุผลนั้นเช่นกัน
แต่ก็มีคนจำนวนหนึ่งเหมือนกัน ที่พยายามทำความเข้าในความรัก ในทางวิทยาศาสตร์ เช่น งานวิจัยโดย นักมานุษยวิทยา เฮเลน ฟิชเชอร์ (Helen Fisher) ที่ใช้เวลาหลายปี รวบรวมข้อมูล และทำการวิจัยเรื่องการทำงานของสมองต่อความรู้สึกรัก นอกใจ โดยให้อาสาสมัครเข้าเครื่อง MRi เพื่อดูการทำงานของสมองขณะเกิดความรู้สึกต่างๆ
จากประสบการณ์และงานวิจัย ทำให้เราเข้าใจทั้งเรื่องความรัก และเหตุผลของคนที่นอกใจ ได้มากขึ้น โดยเฉพาะจาก TedTalk เทปนี้ของเธอ Why We Love, Why We Cheat และบทความจาก Talk อื่นๆ เกี่ยวกับ การนอกใจ โดยนนักพูดท่านอื่นๆ ที่เราขอรวบรวมเอาไว้ให้อ่าน และเข้าใจได้ง่ายๆ
ประเด็นที่น่าสนใจ
1. แนวคิด ผัวเดียวเมียเดียว อาจไม่ใช่สำหรับทุกคน
จากสถิติล่าสุดระบุว่า ผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว 20-25% และผู้ชายที่แต่งงานแล้ว 20-40% เคยนอกใจคู่สมรสอย่างน้อย 1 ครั้ง นอกจากนี้ แนวคิดผัวเดียวเมียเดียว (Monogamy) ยังเป็นแนวคิดยุคต่อมา หลังจากสังคมสร้างกฏระเบียบขึ้นมา มองว่าผู้เจริญแล้วจะไม่มากรัก หลายผัว หลายเมีย และหนึ่งครอบครัวจะประกอบตัว หนึ่งผัว หนึ่งเมีย จึงจะเรียกว่าเป็นสิ่งที่ดีงาม ถูกต้อง
ทว่าในปัจจุบัน แนวคิดการมีคู่ครองมากกว่าหนึ่ง เริ่มเบ่งบาน และถูกพูดถึงอย่างแพร่หลาย เช่น แนวคิด Polyamory คือการคบกันเป็นกลุ่ม คล้ายกับเป็นความสัมพันธ์แบบเปิด ที่หากคู่ของเราพอใจจะมีความสัมพันธ์ทางกายหรือทางใจกับคนอื่นก็ย่อมได้ โดยที่เราเองรับรู้ทุกอย่าง อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับความสัมพันธ์แบบกลุ่ม ที่นี่เลย
2. การ นอกใจ มีหลายแบบ
การจะบอกว่าคนรักนอกใจ เขาต้อง “ทำ” มากขนาดไหน อาจะอยู่ที่ความเข้าใจกันระหว่างคู่รัก เพราะการนอกใจมีทั้ง นอกกายแต่ไม่มีความรู้สึกโรแมนติก, มีความรู้สึกรักให้แต่ไม่มีความสัมพันธ์ทางการ, หรือมีความสัมพันธ์ทางกายและมีความรู้สึกรักไปพร้อมกัน
นอกจากนี้ การนอกใจในยุคดิจิตัล ยังไม่หยุดแค่เพียงการสงสายตา หรือการมีความสัมพันธ์กันบนโลกแห่งความเป็นจริงเท่านั้น แต่การแอบให้ความสนใจต่อใครคนหนึ่งเป็นพิเศษ บนโลกเสมือนจริง อย่างโซเชี่ยลมีเดียต่างๆ ก็นับเป็นการนอกใจ ที่เรียกว่า Micro-Cheating ได้เช่นเดียวกัน
3. สมองแยกความรู้สึกรักออกเป็น 3 ส่วน สำหรับ 3 คน
ค่านิยมความรักในปัจจุบัน มักจะบอกเราว่า เราสามารถรักผู้ชายหรือผู้หญิงได้เพียงคนเดียว แต่สำหรับสมองแล้วไม่จริง เพราะสมองที่สั่งการเกี่ยวข้องกับความรู้สึกรัก แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ แรงขับเคลื่อนทางเพศ ที่กระตุ้นให้มองหาคู่มากกว่า 1 โดยมีแรงจูงใจทางเพศ เพื่อเซ็กส์, ความรู้สึกรักที่โรแมนติก ที่กระตุ้นให้จดจ่ออยู่กับการเกี้ยวคนๆ หนึ่งเป็นคู่ชีวิต (แต่งงาน), ความรู้สึกผูกพัน ที่กระตุ้นให้ความรู้สึกรักโรแมนติกระหว่างคู่ชีวิตยังคงอยู่ นานพอจะให้อยู่เป็นคู่กระทั่งพ้นวัยทารก
การทำงานของสมองพื้นฐานทั้ง 3 นี้จะทำงานร่วมกัน ซึ่งปรับเปลี่ยนได้มากมาย ตามแรงจูงใจ อารมณ์ และพฤติกรรม ออกมาเป็นแนวทางการหาคู่ชีวิต/ผลิตทายาทของแต่ละคน อย่างไรก็ตาม ในทางกายภาพแล้ว มีความเป็นไปได้ที่ จะมีความรู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่ง ต่อคนหนึ่งคน เช่น มีแรงขับเคลื่อนทางเพศ ให้รู้สึกสเน่หาคนหนึ่ง ขณะที่รู้สึกรักอยากเป็นคู่ชีวิตกับอีกคนหนึ่ง และมีความรู้สึกผูกพันอยู่ลึกกับอีกคนหนึ่ง ก็ได้เช่นกัน
4. การ นอกใจ เป็นวัฒนธรรมที่คงอยู่มานานแสนนาน
แรกเริ่มค่านิยมผัวเดียวเมียเดียวไม่เคยมีอยู่ มนุษย์สืบพันธุ์กับเพื่อนดำรงเผ่าพันธุ์ไม่ให้สูญหายไปเท่านั้น แม้กระทั่งเริ่มเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์แล้วก็ตาม การนอกใจก็ยังนับเป็นเรื่องธรรมดา ที่เกิดขึ้นได้เสมอ เรียกว่าเป็นเรื่องที่ผิดด้วยค่านิยมและบรรทัดฐานของสังคมเท่านั้น การแหกกฏนอกใจคู่ชีวิตตัวเอง ไม่ได้ผิดร้ายแรงต่อสังคมในวงกว้าง แต่นับเป็นเรื่องศีลธรรม ที่ทำให้ตัวบุคคลนั้นๆ ดูขาดคุณธรรม จริยธรรมที่ดีงามไป
อย่างไรก็ตาม การฟ้องร้องเอาผิดในข้อหา “คบชู้” และทำให้ครอบครัวร้าวฉาน สามารถเอาความกับ เมืยน้อย หรือผัวน้อย ก็มีให้เห็นเช่นกัน ทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ เรียกว่าสามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย แก้เผ็ดได้เลย
5. มีความสัมพันธ์กับคนมีคู่เป็นเรื่องปกติ
จากสถิติล่าสุด ระบุว่า ชาวอเมริกัน ผู้ชาย 53% และผู้หญิง 60% มีความสัมพันธ์กับคนที่ถูกใจ แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายแต่งงาน หรือมีคนรักอยู่แล้ว หรือไปถึงกระทั่งพยายามยั่วยุให้อีกฝ่ายจบความสัมพันธ์ เพื่อเริ่มความสัมพันธ์ใหม่กับตัวเอง