
ทำไมผู้ชายไม่ใส่ “กระโปรง” ว่าด้วยที่มาของเสื้อผ้า และความเท่าเทียมทางเพศ
ผู้หญิง อยู่กับกระโปรงมาค่อนชีวิต ตั้งแต่อนุบาล ยันมหา’ลัย จะไปติดต่อราชการที่ไหนก็ใส่กระโปรง เข้าวัดยังต้องใส่กระโปรง บางสถานที่ถึงขั้นมีกฎสำหรับผู้หญิงเลยว่า ถ้าไม่ใส่กระโปรง ห้ามเข้า!
แล้วถ้าเราลองตั้งคำถามกับกฎเหล่านั้นว่า “ทำไมผู้หญิงต้องใส่กระโปรง?” เชื่อว่า 99.99% ต้องเคยเจอประโยคทำนอง “ใส่กระโปรงดูเรียบร้อยกว่า” “ใส่กระโปรงสุภาพกว่า” “เป็นผู้หญิงก็ใส่กระโปรงสิ” จนเกิดเป็นความเคยชินว่า ถ้าคุณมี เพศสภาพ (Gender) เป็นผู้หญิง คุณต้องใส่กระโปรงถึงจะเหมาะสม และถ้าผู้ชายคนไหนอยากจะลองหันไปใส่กระโปรงดูบ้าง ก็จะถูกนินทาทันที จนบางทีก็อยากกลอกตาเบาๆ เสื้อผ้าเราใส่เองแท้ๆ แต่ไหงดันไปหนักที่ตัวคนอื่นก็ไม่รู้ (อุ๊ปส์)
แต่เชื่อมั้ยคะว่า จริงๆ แล้ว มนุษย์ในยุคอดีตก็ใส่กระโปรงกันทุกคนนั่นแหละ
ประเด็นที่น่าสนใจ
กระโปรงมาจากไหน?
จุดเริ่มต้นของกระโปรง อาจจะต้องย้อนไปไกลหน่อย สักประมาณ 3,900 ปีก่อนคริสตกาล ในยุคเริ่มแรก มนุษย์ไม่ได้แบ่งเครื่องแต่งกายออกตามเพศสภาพ เราใช้หนังสัตว์ ฟาง หรือใบไม้ มาปกปิดเรือนร่าง
มันก็คงจะหวิวๆ แหละ แต่พอเรารู้จักการทอผ้า เสื้อผ้าจึงถูกปรับเปลี่ยนให้ดูดีมีอารยะมากขึ้น แต่ก็ยังเป็นทรงของกระโปรงอยู่
ถ้าลองมองหลักฐานทางประวัติศาสตร์ อย่างภาพวาดของชาวกรีก หรือรูปสลักอียิปต์โบราณ จะเห็นว่าทั้งชายและหญิง ต่างก็ส่วมใส่เสื้อผ้าที่มีลักษณะไม่ต่างกันนัก คือเป็นผ้าผืนใหญ่คลุมทั้งตัว หรือใช้ผ้าพันรอบเอว

กระโปรงกลายเป็นเครื่องแบบตาม “เพศสภาพ” ของผู้หญิงตั้งแต่ตอนไหน?
ขยับมาใกล้ปัจจุบันอีกหน่อย ในช่วงยังมีสงครามแย่งชิงดินแดนระหว่างชนเผ่าหรือเมือง ผู้ชายถูกกำหนดให้ออกไปรบ และการรบกันบนหลังม้าก็ดูจะฮิตมาก (ก็ยังไม่มีรถถังอะเนอะ) ดังนั้นผู้ชายจึงต้องหาเครื่องแต่งกายเหมาะๆ อย่างเช่นกางเกงใส่ไปรบ
พอผู้ชายได้ใส่กางเกงปุ๊บ เขาก็รู้สึกว่า เฮ้ย! มันสบายกว่ากันเยอะเลยนี่หว่า! ก็เลยใส่กางเกงกันต่อไป แล้วปล่อยให้ผู้หญิงใส่กระโปรงกันเหมือนเดิม ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้มีการบังคับ หรือกะเกณฑ์อะไรมากมาย
แต่พอในศตวรรษที่ 18 ซึ่งเป็นยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ผู้ชายก็ขยับมามีบทบาทเพิ่มมากกว่าเดิม ทั้งในด้านแรงงาน การเมือง และเศรษฐกิจ ผู้หญิงถูกลดความสำคัญ ให้กลายเป็นเพียงลูกสาว แม่ และภรรยา ผู้หญิงถูกจัดให้เป็นเพศที่อ่อนแอ เปราะบาง อ่อนหวาน และรักสวยรักงาม กระโปรงจึงค่อยๆ กลายมาเป็นเครื่องแบบเฉพาะของผู้หญิง และกลายเป็นแฟชั่น ที่บอกถึงสถานะและบทบาททางสังคม
อย่างที่เราจะเห็นกันบ่อยๆ ในหนังย้อนยุคสไตล์ยุโรป ที่หญิงสาวชนชั้นสูงหลายคนใส่กระโปรงสุ่มไก่ แบบที่มองไกลๆ ก็รู้ว่าคงจะไปปั่นจักรยาน ขี่ม้า เล่นกีฬา ตีเทนนิสไม่ได้แน่ๆ และในยุคถัดๆ มา เจ้ากระโปรงนี่ก็วิวัฒนาการให้มีความฟูฟ่องมากขึ้นเรื่อยๆ จนในยุคหนึ่ง มันก็หนาถึง 6 ชั้น! เรียกว่าใส่แล้วก็ไม่ต้องทำอะไรหรอก นั่งสวยๆ จิบชาไปวันๆ ก็พอ
หลังสาวๆ เห่อกระโปรงพองๆ กันไปพอหอมปากหอมคอ ยุคถัดมาก็เริ่มมีการปรับเปลี่ยนบทบาททางสังคม ผู้หญิงเริ่มออกไปทำงาน เล่นกีฬา รณรงค์เรื่องความเท่าเทียม และทำกิจกรรมอื่นๆ ที่เคยสงวนไว้เฉพาะผู้ชายเท่านั้น กระโปรงจึงค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นอะไรที่ใส่สบายมากขึ้น แต่ก็ยังคงสไตล์วิกตอเรียไว้บ้าง
“บทบาททางสังคม” ที่เปลี่ยนไป ทำให้ผู้หญิงได้ใส่กางเกง

เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ผู้ชายถูกเกณฑ์ไปรบ จนทำให้ตลาดขาดแคลนแรงงาน ผู้หญิงจึงเข้ามามีบทบาททางสังคมมากขึ้น ตอนนั้นแหละ ผู้หญิงถึงได้ใส่กางเกงกับเขาบ้าง
แต่สังคมยุคนั้นก็ยังมองว่าเป็นเรื่องแปลก และมองว่าไม่เหมาะสมถ้าผู้หญิงจะใส่กางเกงนอกเหนือเวลาทำงาน ถึงขั้นมีการตัดสินจำคุกผู้หญิงที่ใส่กางเกงเข้าไปในศาลด้วย!
ตัดภาพกลับมาที่ไทย ในสมัยจอมพลป. กระโปรงกลายเป็นเครื่องแบบของผู้หญิงเพราะการเข้ามาของชาติตะวันตก เพื่อไม่ให้ประเทศถูกมองว่าล้าหลัง รัฐบาลในสมัยนั้นจึงออกข้อกำหนดมากมาย รวมไปถึงการสวมเครื่องแต่งกายที่เหมาะสมตามเพศสภาพ
ทว่าผู้หญิงก็แหกขนบการแบ่งเพศอีกครั้ง ด้วยการสร้างแฟชั่นกางเกงของผู้หญิงขึ้นมาในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และ go viral กันไปเรื่อยๆ จนพวกเธอสามารถใส่กางเกงกันได้อย่างปกติจนถึงปัจจุบัน
กลายเป็นว่า ตอนนี้ ผู้หญิงมีตัวเลือกมากกว่าผู้ชาย เราจะใส่อะไรก็ได้ ในขณะผู้ชายกลับถูกกีดกัดจากกระโปรง
ในบางสังคม ยังมองว่ากระโปรงเป็นเครื่องแบบเฉพาะผู้หญิงเท่านั้น ผู้ชายห้ามใส่ ถ้าใส่แล้วจะไม่ใช่ผู้ชายทันที
แล้วทำไมผู้ชายใส่กระโปรงไม่ได้?
แปลกมะ? ผู้หญิงใส่กางเกง ก็ไม่ได้แปลว่าเขาไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย แล้วไหงพอผู้ชายจะใส่กระโปรงบ้าง สังคมถึงผลักให้เขาไม่ใช่ผู้ชายซะงั้น?
ตอนนี้ในหลายๆ ประเทศ การสวมใส่เครื่องแบบตาม เพศสภาพ กลายเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น ผู้คนสามารถเลือกได้ว่าเขาต้องการจะสวมกระโปรง หรือกางเกง รวมถึงแฟชั่นรูปแบบต่างๆ ก็ไม่ได้ยึดติดอยู่ที่ชายหรือหญิงอีกต่อไป อย่างประโยคฮิตที่ว่า “เสื้อผ้าไม่มีเพศ” ตอนนี้ไม่ว่าจะดารา นักแสดง หรือไอดอล ต่างก็ออกมาแต่งตัวแบบไม่อิงเพศกันมากขึ้น ทั้งเป็นกระแสแฟชั่นแบบใหม่ และเพื่อสนับสนุนความหลากหลายทางเพศ
เช่น นักร้องหนุ่ม แฮร์รี่ สไตล์ (Harry Styles) กับชุดเดรสสุดเริ่ด ที่ขึ้นปกเดี่ยวให้กับนิตยสาร Vogue เพื่อแสดงความลื่นไหลทางเพศสภาวะ (Gender Fluid) หรือเหล่าไอดอลหนุ่มวง WayV ที่ใส่ชุดเจ้าหญิงดิสนีย์ มาเต้นกันแบบจัดเต็ม เพื่อฉลองวันเกิดให้กับ วินวิน (WINWIN) สมาชิกในวงที่ชื่นชอบเจ้าหญิงดิสนีย์มากๆ และยังเป็นการบอกให้โลกรู้ว่า ผู้ชายก็ใส่ชุดเจ้าหญิงได้เหมือนกัน!
ก่อนหน้านี้มีผู้ชายอีกหลายคน ที่ออกมาร่วมสวมกระโปรง เพื่อสนับสนุนแนวคิดเรื่องเพศ เช่น เอซรา มิลเลอร์ (Ezra Miller), เจเดน สมิธ (Jaden Smith), จีดราก้อน (G-Dragon), จัสติน บีเบอร์ (Justin Bieber) หรือคิมฮีชอล (Kim Hee-chul)
แม้ว่าพวกเขาเหล่านี้อาจจะไม่ได้ใส่กระโปรงกันทุกวัน แต่ก็เท่ากับได้ช่วยส่งเสียงเรื่องความเท่าเทียมทางเพศออกไป ในฐานะคนที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง

เพจผู้หญิงสมัยนี้เชื่อว่า เสื้อผ้าไม่ควรผูกอยู่กับเพศ และกระโปรง ก็เป็นเพียงเสื้อผ้าชิ้นหนึ่ง ไม่ควรต้องมากำหนดกะเกณฑ์ว่า เพศนี้ต้องใส่ เพศนั้นห้ามใส่ ต่อให้คุณไม่ใช่ LGBTQ+ แต่วันที่คืนดีนึกครึ้ม อยากหยิบกระโปรงขึ้นมาใส่ ก็ควรจะทำได้ โดยไม่มีใครมองว่าแปลก
ผู้หญิงยังเปลี่ยนมาใส่กางเกงกันจนเป็นเรื่องปกติ แล้วทำไมผู้ชายจะเปลี่ยนไปใส่กระโปรงบ้างไม่ได้ล่ะ?
ข้อมูลอ้างอิง :
Chasing The History Of The Skirt
ย้อน รอย การ ใส่ กาง เกง ของ สุ ภาพ สตรี พลัง ที่ เปลี่ยน โลก ของ พวก เธอ ไป ตลอด กาล !