
Muse คือใคร ทำไมมิวส์สาวถึงเป็นตำนาน สร้างชื่อให้ไอเท็มนี้ขายดีตลอดกาล
Muse (มิวส์) เป็นคำเรียกติดปาก และทุกช่วงของหลายแบรนด์จะต้องมีผู้ครองตำแหน่งนี้เป็นทั้งหน้าตาและคาแรคเตอร์ของแบรนด์ที่ใครๆ ก็เห็นแล้วเข้าใจไปในทางเดียวกัน
ตั้งแต่ในยุคที่แบรนด์แฟชั่นชั้นสูงพากันถือกำเนิดในช่วงศตวรรษที่ 18 – 19 เป็นต้นมา ในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งร้อยปีหลังจากนั้น แบรนด์เริ่มเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายผ่านคนมีชื่อเสียงที่ส่วนใหญ่จะเป็น “ผู้ใช้จริง” อาจจะด้วยเหตุผลว่าแบรนด์แฟชั่นในยุคนั้นไม่ได้ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดเหมือนในปัจจุบันนี้ การตัดเสื้อผ้าใช้ในชีวิตประจำวันเป็นเรื่องที่ทำกันโดยทั่วไป ใช้ช่างมีฝีมือและมีดีไซน์เนอร์เป็นผู้ออกแบบอย่างพิถีพิถัน
และเมื่อมีการใช้โฆษณา ภาพถ่ายหรือไม่ว่าจะเป็นภาพข่าวที่ถูกสื่อสารออกไป ก็ส่งผลให้ผู้คนส่วนใหญ่ถูกกระตุ้นให้อยากได้ อยากมีสิ่งที่คนดังมีมากหรือน้อยแตกต่างกันไป
คำว่า Muse, Ambassador หรือ Face เลยถูกนำมาใช้ตามแต่ละแบรนด์จะใช้ชื่อเรียกและทำข้อตกลงกับแต่ละบุคคล มีที่มาและจุดประสงค์ที่มีความต่างและความเหมือนที่ทับซ้อนกันอยู่จนไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าความจริงแล้วที่มาและความหมายของมันคืออะไร แต่แน่ใจได้เลยว่า ‘พวกเขา’ มีเอกลักษณ์อะไรบางอย่างที่ชัดเจนมากพอจะทำให้คนที่รู้จักแบรนด์นั้นมากพอ แค่ได้ยินชื่อคนดังที่ว่า ก็เห็นภาพขึ้นมาทันทีเลยว่า มีความเกี่ยวพันกันอย่างไร กับแบรนด์ในดวงใจแบรนด์นั้น
Muse สาวสี่คนนี้ที่สร้างตำนานในอดีตยาวมาจนถึงปัจจุบัน
Marilyn Monroe เซ็กซี่สตาร์และกลิ่นสุดหรูหรา Chanel No.5

Chanel แบรนด์สัญชาติฝรั่งเศส ที่มี Gabrielle Bonheur “Coco” Chanel หญิงสาวชาวฝรั่งเศส ก่อตั้งขึ้นในปี 1909 ที่เริ่มจากการทำหมวกให้สาวสังคมชั้นสูงสวมใส่ในชีวิตประจำวัน ที่ชั้น G บ้านเลขที่ 21 Rue Cambon ในชื่อ Chanel Modes

Credit : https://inside.chanel.com/en/paris-by-chanel
หลังจากนั้นแบรนด์ชาแนลก็ไม่ได้มีแค่หมวก แต่เครื่องประดับ กระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้าก็มาเต็ม แต่หนึ่งในสิ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับแบรนด์กลับอยู่ในหมวดเครื่องสำอาง ก็คือน้ำหอมกลิ่น Chanel No.5

ชาแนลนัมเบอร์ไฟว์ (Chanel No.5) ความหรูหราที่มาในรูปแบบของกลิ่น หากใครเคยสัมผัสแค่ผ่านๆ จะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า เหมือนแป้ง ในยุค 1921 ที่กลิ่นนี้ถือกำเนิดมานั้น นี่คงจะเป็นกลิ่นชั้นสูงที่ Gabrielle Bonheur “Coco” Chanel ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Chanel ปรุงร่วมกับ Emest Beaux นักปรุงน้ำหอมชาวรัสเซีย ที่พวกเขาสร้างสรรค์น้ำหอมด้วยกันถึง 80 กลิ่นและเธอก็เลือกกลิ่นหมายเลข 5 ที่เธอชอบที่สุด และตั้งชื่อว่า N°5
ความจริงแล้วมันไม่ใช่แป้งซะทีเดียว แต่เป็นกลิ่นของดอกกุหลาบพันธุ์พิเศษที่เก็บเกี่ยวได้ในเดือนพฤษภาคม ผสมร่วมกันกับกลิ่นของดอกมะลิที่เก็บเกี่ยวในเดือนตุลาคมเป็นจุดเด่น แล้วยังมีกลิ่นอื่นที่ทำให้น้ำหอมขวดนี้กลายเป็นกลิ่นของดอกไม้ที่ไม่มีอยู่จริง และส่วนฝาขวดน้ำหอมเราก็ได้รู้มาว่าเธออินสไปร์มาจาก Place Vendôme มุมบนที่เธอมองเห็นจากห้องทำงานในบูติกของ Chanel กลิ่นนี้ได้กลายเป็นตำนานที่สุดกลิ่นหนึ่งในบรรดาน้ำหอมที่เคยถือกำเนิดบนโลก

ปกนิตยสาร Life วันที่ 7 เมษยน 1952
Credit : https://inside.chanel.com/en/marilyn/marilyn-and-no5
แม้ว่าน้ำหอมกลิ่นนี้จะมีอายุเกือบ 100 ปีมาแล้ว แต่ในปี 1952 ในช่วงนี้ Chanel No.5 ถูกวางขายมาแล้ว 30 ปี ชื่อเสียงของกลิ่นนี้ก็โด่งดังขึ้นเพียงแค่ถูกเอ่ยถึงในบทสัมภาษณ์ที่ถูกตีพิมพ์ลงนิตยสาร Life โดยเจ้าของคำตอบที่แสนสั้นนั้นก็คือ Marilyn Monroe เซ็กซี่สตาร์วัย 26 ปี ที่บอกว่าเธอใส่ Chanel No.5 บนเตียงนอน

ภาพถ่ายที่ไม่ได้ตีพิมพ์ในปี 1953
Credit : https://inside.chanel.com/en/marilyn/marilyn-and-no5
และหลังจากนั้นอาจมีภาพถ่ายที่ไม่ได้ถูกตีพิมพ์เป็นภาพของเธอบนเตียงและมีเพียงขวด Chanel No.5 บางที่หัวเตียง แต่คำตอบที่เป็นเพียงตัวหนังสือหรืออาจจะมีไฟล์เสียงที่ถูกปล่อยออกมาหลังจากนั้น กลับสร้างความพลิกผันให้ช่วงเวลาไม่กี่วินาทีกลายเป็นตำนาน เพียงเพราะมาริลินไม่อยากจะตอบว่าเธอไม่ได้ใส่อะไรเลย แม้ว่ามันเป็นความจริงก็ตาม แต่ Chanel No.5 ก็เป็นเรื่องจริงของเธอเหมือนกัน

Credit : https://inside.chanel.com/en/marilyn/marilyn-and-no5
ความหรูหราที่เรียบง่าย : น้อยคนอาจนึกไม่ถึง และใช้กลิ่นน้ำหอมสุดหรูในวาระที่สำคัญหรือชีวิตประจำวันเพื่อสร้างความประทับใจให้กับคนที่พบเห็น แต่การนำมาใช้ในช่วงเวลาที่อยู่เพียงลำพัง นั่นแหละคือความหรูหราที่แท้จริง ใช้เพราะรักในมันจริงๆ
ความสัมพันธ์ตลอดกาลของ Hubert de Givenchy และ Audrey Hepburn

Givenchy อีกหนึ่งแบรนด์สัญชาติฝรั่งเศสที่อาจไม่ได้มีอายุถึงร้อยปีในปัจจุบัน เพราะเพิ่งก่อตั้งในปี 1952 นี้ โดย Hubert de Givenchy ดีไซน์เนอร์หนุ่มชาวฝรั่งเศส แต่เกือบ 70 ปีที่ผ่านมาจีวองชีก็มีเอกลักษณ์ที่เห็นชัดเจน ในความน้อยแต่มาก ไม่เอะอะแต่โดดเด่น และมีมิวส์คนสำคัญที่ผูกพันธ์กันมาตั้งแต่แรกเริ่มก็คือดาราสาวชาวอเมริกันชื่อดังอย่าง Audrey Hepburn

ทุกอย่างเริ่มขึ้นในตอนที่ออเดรย์เดินทางไปปารีสเพื่อตามหาดีไซน์เนอร์ที่จะมาดูแลชุดให้เธอสำหรับภาพยนตร์เรื่อง Sabrina ในปี 1953 แล้วเธอก็ได้พบกับ Hubert de Givenchy ในช่วงที่เขาเพิ่งจะมีผลงานในนามของแบรนด์ Givenchy เพียงคอลเล็คชั่นเดียวเท่านั้น ในตอนนั้นคุณจีวองชีคิดว่าเธอคือดาราสาวอีกคนที่ชื่อว่า Katharine Hepburn แม้ว่าจะเข้าใจผิดแต่ด้วยความประทับใจ พวกเขาก็ได้สร้างความสัมพันธ์ดีไซน์เนอร์และนักแสดงที่แสนจะยาวนาน จนกลายเป็นตำนานที่ทั้งขายดี ถูกก๊อปปี้ และมีเอกลักษณ์จนยากจะแบบ

Credit : http://classiq.me/cinema-style-audrey-hepburn-in-sabrina
Audrey Hepburn ในชุด “décolleté Sabrina” จาก Givenchy จากเรื่อง Sabrina ปี 1954 ที่นอกจากจะถูกถ่ายภาพเลียนแบบเป็นว่าเล่นแล้วชุดนี้ยังมีการทำเลียนแบบนับครั้งไม่ถ้วน

Audrey Hepburn ในภาพยนตร์ Breakfast at Tiffany’s
Credit : https://edition.cnn.com/style/article/audrey-hepburn-little-black-dress-remember-when/index.html
จำภาพกระโปรงยาวสีดำและสร้อยคอมุกชิ้นใหญ่จาก Breakfast at Tiffany’s ช่วงปี 1961 กันได้อยู่ไหม เราไม่เคยลืมได้เลย และราคาประมูลที่ทราบมาก็สูงถึงเกือบหนึ่งล้านเหรียญสหรัฐฯ เลยล่ะ

อีกลุคจาก Breakfast at Tiffany’s ปี 1961 แต่ดูสบายมากขึ้นด้วยหมวกปีกว้างและกระโปรงสั้นเลยเข่าลงมาจาก Givenchy ลุคนี้ก็คืออีกลุคที่โดนใจ
นอกจากออเดรย์แล้ว คุณจีวองชีก็มีชื่อเสียงในการดูแลเสื้อผ้าให้กับหญิงชาวอเมริกันชื่อดังอีกคน ก็คือ Jacqueline Kennedy Onassis หรือ Jackie O สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งที่ดำรงตำแหน่งได้เพียง 2 ปี แต่มีชื่อเสียงยาวนานจนถึงทุกวันนี้
Hermes Birkin อินสไปร์บาย Jane Birkin เจ้าของลุคตะกร้าสานสู่งานหนังชั้นสูง

แบรนด์ Hermes ก่อตั้งขึ้นในปี 1837 โดย Thierry Hermès ลูกครึ่งเยอรมันที่ย้ายเข้าไปในฝรั่งเศสเพื่อทำธุรกิจผลิตอานม้าสำหรับขุนนางในยุโรป แล้วหลังจากนั้นแบรนด์ก็เริ่มขยับขยายไปสู่ผลิตภัณฑ์งานหนังต่างๆ แต่คงโลโก้รูปม้าเอาไว้เพื่อให้เข้าใจถึงที่มา

กระเป๋าใบแรกที่สร้างชื่อให้กับแบรนด์ในปี 1935 เลยก็คือ Kelly แต่ชื่อเดิมคือ Sac a depeches bag แต่โด่งดังขึ้นมาสุดๆ ในปี 1956 เมื่อ Grace Kelly เจ้าหญิงแห่งโมนาโกถือบังพระอุทรที่ทรงพระครรภ์อยู่ เมื่อภาพหลุดออกไปกระเป๋าใบนี้ก็ได้กลายเป็นที่ต้องการอย่างสูงสุด แล้วก็ถูกเรียกกันติดปากว่า Kelly Bag

แล้วในอีกปีที่เป็นตำนาน เมื่อ Jean-Louis Dumas CEO ของแบรนด์ได้บินจากปารีสไปลอนดอนในปี 1981 เขาพบกันกับ Jane Birkin นักแสดงสาวที่ถือกระเป๋าตะกร้าสานบรรจุสรรพสิ่งทั้งหลายของเธอ มันทำให้เขารู้สึกอินสไปร์ที่จะดีไซน์กระเป๋าหนึ่งใบให้สาวๆ ถือไปไหนต่อไหนสำหรับเดินทางในวันหยุด จนเมื่อปี 1984 แอร์เมสก็ได้เปิดตัวกระเป๋ารุ่นไอคอนิคที่ถูกสร้างสรรค์เพื่อเจนโดยเฉพาะในนาม Birkin Bag

เป็นที่รู้กันดีในหมู่ของสาวกแบรนด์แอร์เมสว่ากระเป๋าทั้งสองรุ่นของแบรนด์มีขั้นตอนในการซื้อที่ไม่ธรรมดา ไม่ใช่ว่าเดินเข้าไปแล้วจะชี้เลือกจ่ายเงินจบเหมือนกับแบรนด์อื่นๆ ยิ่งถ้าคุณเลือกไปสอบถามในช็อปตามหัวเมืองแฟชั่นหรือเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมมากเท่าไหร่ ความยากและลำดับการรอคอยก็จะเพิ่มขึ้นตามกัน
ความหรูหราที่เรียบง่าย : แท้จริงแล้วความตั้งใจแรกของกระเป๋า Birkin นั้นเพื่อใส่ของใช้ทั้งหลายของผู้หญิงเอาให้จุใจเพื่อถือในช่วงเดินทาง และ Jane ก็ใช้มันอย่างนั้นจริงๆ แต่ด้วยมูลค่าและดีไซน์ที่ใช้วัสดุที่มีความสร้างสรรค์มากขึ้นการนำมาใช้ของผู้คนก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลา
Lady Dior ของขวัญแด่ Lady Diana เจ้าหญิงผู้เป็นที่รัก

ได้ยินชื่อของกระเป๋าใบนี้แล้วคุ้นหูว่าจะเป็นกระเป๋าประจำตัวของเจ้าหญิงผู้เป็นที่รักตลอดกาลของชาวอังกฤษและคนทั่วโลก ด้วยชื่อขึ้นต้นคำเดียวกัน Lady ทำให้ทั้ง Diana และ Dior ต่างพากันครองหัวใจผู้หญิงสาวไปตามๆ กัน
ทำความรู้จักแบรนด์ Dior หรือ Christian Dior ก่อนแบรนด์นี้ดีไซน์เนอร์ชาวฝรั่งเศสชื่อเดียวกันก่อตั้งขึ้นในปี 1946 ที่บ้านเลขที่ 30 Avenue Montaigne คุณดิออร์ปล่อยคอลเลคชั่นแรกในเดือนกุมภาพันธ์ปี 1947 และสร้างชื่อให้กับแบรนด์ได้ในทันที เมื่อบรรณาธิการบริหารนิตยสาร Harper’s Bazaar ได้เรียกมันว่า The New Look ซึ่งถือว่าเป็นการปฎิวัติอุตสหากรรมแฟชั่นของผู้หญิงครั้งใหญ่ในยุค 40’s
และในปี 1995 Lady Dior ก็ถูกสร้างสรรค์ขึ้นในเดือนตุลาคม แต่ยังไม่ถูกเรียกด้วยชื่อนี้ซะทีเดียว ความพิเศษต่างหากที่สำคัญ เมื่อเจ้าหญิงไดอานาเสด็จเยือนกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ทาง Bernadette Chirac (แบร์นาแด็ต ชีรัก) สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของฝรั่งเศส ก็ได้ถวายกระเป๋าใบหนึ่งที่ถูกออกแบบโดย John Galliano (จอห์น กัลลิอาโน) ผู้นวยการฝ่ายสร้างสรรค์ House of Dior ในตอนนั้น
เป็นกระเป๋าที่ถูกออกแบบขึ้นเป็นพิเศษ ใช้หนังแกะสีดำมีคุณภาพจำนวน 130 ชิ้น ประกอบโดยช่างฝีมือ 7 คน เย็บด้วยมือและใช้ลายคานนาจ (อินสไปร์บายเก้าอี้นโปเลียนในงานเปิดตัวคอลเลคชั่นแรกของแบรนด์ในปี 1947) ใช้เวลาอย่างน้อย 8 ชั่วโมงในการเย็บและประกอบอะไหล่เงินจำวน 43 ชิ้นเข้าด้วยกัน
เจ้าหญิงไดอานา ปรากฎกายครั้งแรกกับกระเป๋ารุ่นใหม่ของ Chirstian Dior ในฉลองพระองค์ชุดสูทลายฮาวน์สทูธสีขาวดำ แล้วหลังจากนั้นก็ถูกปาปารัซซีถ่ายภาพตีพิมพ์ลงในสื่ออีกหลายครั้งทำให้ยอดขายของแบรนด์เพิ่มขึ้นถึง 10 เท่า เพียงสองปีกระเป๋ารุ่นนี้ขายออกไปถึงสองแสนใบ และถูกผลิตด้วยวัสดุ สีสันที่แตกต่างกันมากมายจนถึงปัจจุบัน ทางแบรนด์จึงตั้งชื่อกระเป๋ารุ่นนี้ว่า ‘Lady Dior’ เพื่อเป็นเกียรติแด่เจ้าหญิงไดอานาที่สร้างปรากฎการณ์ครั้งใหญ่ให้กับแบรนด์
ส่งต่ออิทธิพลทางแฟชั่นจาก muse สู่ muse
กลับมาสู่ยุคปัจจุบันปี 2020 ที่เหล่าแบรนด์แฟชั่นชั้นสูงทั้งหลายได้กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก คนทั่วโลกรู้จักแบรนด์และเหล่าแบรนด์ก็ได้รู้จักกับผู้มีอิทธิพลทางแฟชั่นและสไตล์จากทั่วโลกเช่นกัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีการจับมือทำงานเพื่อการสื่อสารภาพลักษณ์ของแบรนด์กันอย่างหลากหลาย
ที่เห็นและจะสามารถยกตัวอย่างได้ชัดเจนก็คือเหล่า 4 สาว BLACKPINK ที่แม้จะอยู่ในวัยต้น 20 แต่พวกเธอก็สู้จนกลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก นอกจากวงการเพลง พวกเธอก็มีอิทธิพลอย่างมากในวงการแฟชั่นและบิวนี้ นี่คงเป็นเหตุผลว่าทำไมทั้ง 4 คนถึงได้จับมือร่วมงานกับหลายแบรนด์ไม่ซ้ำกัน

Lisa BLACKPINK (ลิซ่า – ลลิษา มโนบาล)
นักร้องเกาหลีเชื้อสายไทย มิวส์สาวผู้เป็นที่รักของแบรนด์ Celine(the muse of Hedi Slimane) และจากฟรอนต์โรวของ Prada Fall/Winter 2020 ก็มีข่าวลือว่าเธอกลายเป็น Face of Prada แต่ยังไม่มีการคอนเฟิร์ม

Jisoo BLACKPINK (Kim Ji-soo)
ที่ครองตำแหน่ง Global Beauty Ambassador ของแบรนด์ Dior และยังแว่วว่าเป็น Brand Ambassador ของ Burberry อีกด้วยจากเพียงการปรากฎตัวที่ฟรอนต์โรว์ของ Burberry Spring/Summer 2020

Jennie BLACKPINK (Jennie Kim)
คุ้นตากับ Jennie กับภาพการปรากฎตัวในลุคต่างๆ จากแบรนด์ Chanel ด้วยตำแหน่ง Global Ambassador

Rose BLACKPINK (Roseanne Park)
สาวเกาหลีที่เกิดในนิวซีแลนด์คนนี้ เธอครองตำแหน่ง Global Ambassador แบรนด์ Saint Laurent เป็นอันปิดท้ายครบทั้งหมด
ถือว่าเป็นปรากฎการณ์ของทั้ง 4 สาวเกิร์ลกรุ๊ปจากเกาหลีใต้ที่ได้มีความสัมพันธ์กับแบรนด์แฟชั่นชั้นสูงกันทั้งหมด และยังไม่มีใครทำได้มาก่อน เป็นการย้ำที่ชัดเจนเลยว่าพวกเธอกำลังทรงอิทธิพลทั้งด้านงานเพลงและการแต่งตัวในยุคนี้แบบไม่มีใครปฏิเสธได้
ส่วนเรื่องราวที่ก่อนหน้าที่เล่าให้ฟังต่อกันมาของแต่ละแบรนด์มีชื่อเสียงที่ยืนยาวยิ่งกว่าอายุผู้ก่อตั้ง นั้นอาจพอเป็นเหตุผลสนับสนุนได้ว่าทำไมสินค้าที่ถูกผลิตขึ้นมาถึงได้มีมูลค่าสูงเกินความจำเป็นของการใช้จ่ายของคนทั่วไป เพราะเป็นการใช้จ่ายด้วยความพอใจส่วนตัว และมิวส์แต่ละคนก็บ่งบอกถึงคาแรคเตอร์โดยที่แต่ละแบรนด์ไม่ต้องขยายความอธิบายอะไรมากมาย ทุกคนจะเข้าใจเองเมื่อเวลาผ่านว่าทำไมตำนานถึงอยู่ได้นานและไม่มีวันตาย